กลุ่มบริษัทเทคระดับโลก “FAANG” ใช้ Data Science ยกระดับธุรกิจยังไง

กลุ่มบริษัทเทคระดับโลก “FAANG” ใช้ Data Science ยกระดับธุรกิจยังไง

Business

6 Min

06 Sep 2024

Share

ในที่นี้ทุกคนรู้จัก FAANG กันไหม? หากพูดชื่อไปรับรองว่าทุกคนต้องร้อง อ๋อออ! แน่นอน FAANG คือกลุ่มบริษัทเทคชั้นนำ ได้แก่ Facebook Apple Amazon Netflix และ Google นั่นเอง บริษัทเหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มแนวหน้าในโลกของบริษัทเทคในปัจจุบัน วันนี้เราจะพาทุกคนมาเปิดโลก Data Science ในบริษัทเหล่านี้กัน! มาดูสิว่า FAANG ที่ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ เบื้องหลังเขาใช้ Data Science ทำอะไรกันบ้าง ไปดูกันเลย

Facebook ใช้ข้อมูลฟีดเนื้อหาได้โดนใจกว่าเดิม

  • ใช้ทำ Content Suggestion โชว์เนื้อหาและโฆษณา
  • ระบบ Deep Text อ่านโพสต์เข้าใจ ระบุโพสต์ที่ไม่เหมาะสมได้ไว
  • ทำ Topic Data ช่วยนักการตลาดเจอ Insight
Facebook ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Meta เป็นหนึ่งในบริษัทโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยผู้ใช้งานรายเดือนทั่วโลกเกือบ 3 พันล้านคน ทำให้ Facebook มีข้อมูลจำนวนมหาศาล โดยรายได้ส่วนใหญ่ของ Facebook มาจากการโฆษณา ดังนั้นเป้าหมายคือต้องการให้ผู้ใช้เข้ามาใช้งานให้บ่อยและนานที่สุด การประยุกต์ใช้ Data Science ที่สำคัญที่สุดคือ การตัดสินใจว่าจะแสดงเนื้อหาโพสต์และโฆษณาอย่างไรให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่สุด

นอกจากนี้ข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีอยู่ใน Facebook มักอยู่ในรูปแบบของข้อความ เช่น โพสต์และความคิดเห็น Facebook จึงได้พัฒนาเครื่องมือ ชื่อ “Deep Text” สร้างขึ้นโดยใช้ neural network architectures ซึ่งสามารถเรียนรู้คำ และตัวอักขระได้ ทำให้สามารถเข้าใจข้อความ วิเคราะห์ความหมายจากข้อความได้ในระดับความแม่นยำใกล้เคียงกับมนุษย์ รวมถึงการระบุความรู้สึกของโพสต์ (บวก, ลบ, เป็นกลาง) หรือ การระบุอารมณ์ในโพสต์ (เศร้า, สุข, โกรธ, ข่มขู่ ฯลฯ) เทคโนโลยีนี้ถูกใช้เพื่อระบุโพสต์ที่ไม่เหมาะสม และใช้ระบุหัวข้อของโพสต์

เรียกได้ว่า Facebook รู้อยู่ตลอดว่าคุณโพสต์อะไรอยู่ จึงสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ทำ Topic Data ซึ่งจะแสดงเป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้ฝั่งนักการตลาดที่ซื้อโฆษณากับ Facebook ใช้หา Insight ของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อทำการตลาดที่เหมาะสมต่อไป

Amazon ใช้ข้อมูลยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้ง

  • ทำ Recommendation Engine แนะนำสินค้าตรงใจ
  • ผู้ช่วยอัจฉริยะ Amazon Alexa ฉลาดขึ้น
  • ทำ Pricing Optimization สร้างผลกำไรสูงสุด
Amazon เป็นหนึ่งในบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการรวบรวมข้อมูลประวัติการซื้อของลูกค้าถึง 1 Exabyte (ประมาณ 1000 ล้าน Gigabyte) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการ Data Science และถูกนำมาใช้เทรนเครื่องมือแนะนำสินค้า ที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าบนเว็บไซต์ และทำนายได้อย่างแม่นยำว่าลูกค้าอาจสนใจอะไรในอนาคต

ผู้ช่วยเสมือน เช่น Alexa หรือ Echo/Echo Show ถูกใช้อย่างกว้างขวางในต่างประเทศ เพื่อรับข้อมูลพื้นฐาน เช่น การแจ้งเตือน สภาพอากาศ และข่าวล่าสุด เมื่อผู้ใช้พูดกับ Alexa ไฟล์เสียงจะถูกบันทึกและอัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Amazon เพื่อใช้เทรนอัลกอริทึม Machine Learning และช่วยให้ประสบการณ์ Alexa ดีขึ้น

หนึ่งในข้อมูลที่น่าตกใจคือ Amazon เปลี่ยนราคาของผลิตภัณฑ์ทุก ๆ 10 นาที! เท่ากับว่าใน 1 วัน มีการเปลี่ยนแปลงราคาทั้งหมดในเว็บกว่า 2.5 ล้านครั้ง โดยการใช้อัลกอริทึมประเมินความเต็มใจของบุคคลในการซื้อผลิตภัณฑ์ เป้าหมายคือตั้งราคาให้ลูกค้าอยากซื้อ ซึ่งเรียกว่าเป็นการกำหนดดราคาแบบไดนามิก (Dynamic Pricing) การเปลี่ยนแปลงราคาขึ้นอยู่กับกิจกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ การกำหนดราคาของคู่แข่ง ความพร้อมของผลิตภัณฑ์ อัตรากำไร และอื่น ๆ อีกมากมาย เหล่านี้ต้องผ่านการรวบรวมข้อมูลมหาศาลและคิดคำนวนอย่างรวดเร็ว

Apple ใช้ข้อมูลยกระดับประสบการณ์ใช้งาน

  • พัฒนา Siri ผู้ช่วยเสมือนคนเก่ง
  • Apple Watch วิเคราะห์สุขภาพและการนอน
Apple เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่เชี่ยวชาญในการออกแบบ พัฒนา และจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค เช่น Mac, iPhone, iPad, AirPods เป็นต้น ดังนั้นการใช้ Data Science หลัก ๆ จึงเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการสร้างประสบการณ์ใช้งานอุปกรณ์ที่ดียิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ Siri ผู้ช่วย AI ของ Apple สร้างขึ้นบนอัลกอริทึม Machine Learning ขนาดใหญ่ที่รวมการจดจำเสียงเข้ากับการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing)

นอกจากนี้ยังมี Apple Watch ที่สามารถเตือนผู้ใช้เกี่ยวสุขภาพ และวิถีชีวิตตลอดทั้งวันได้ ทั้งการตรวจจับกิจกรรมที่ทำอยู่ ไปจนถึงวิเคราะห์คุณภาพการนอน การแจ้งเตือนเหล่านี้จาก Apple Watch เป็นผลมาจากโมเดล Machine Learning ที่ซับซ้อนในส่วน Back-end

Netflix ใช้ข้อมูลคัดสรรสื่อให้ตรงใจผู้ชมในทุกแง่มุม

  • Recommendation Engine แนะนำคอนเทนต์โดนใจผู้ชม
  • วางแผนการผลิต พัฒนาคอนเทนต์ และคาดการณ์ความปังล่วงหน้า
  • ใช้ Artwork Visual Analysis เลือกภาพปกโปสเตอร์​ที่ดึงดูดที่สุด
Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวิดีโอที่ใหญ่ที่สุด ในปี 2024 Netflix มีสมาชิกทั่วโลก กว่า 277 ล้านคน โดยหนึ่งความลับของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้คือการใช้ข้อมูล และการวิเคราะห์เพื่อทำการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า อาทิ แนะนำภาพยนตร์และรายการทีวีที่ตรงใจ ปรับแผนการผลิตให้เหมาะสม คาดการณ์ความนิยม ปรับแต่งเนื้อหาการตลาด เช่น ภาพปก เทรลเลอร์ ภาพขนาดย่อของแต่ละตอน

หลัก ๆ ที่ Data Science มีส่วนช่วยอย่างมาก คงจะหนีไม่พ้นระบบแนะนำหนัง/ซีรีส์ (Recommendation Engine) โดย Netflix รวบรวมข้อมูลมหาศาลเกี่ยวกับผู้ใช้แต่ละราย สิ่งที่พวกเขาค้นหา สิ่งที่พวกเขาเพิ่มในรายการดู และเคยดู จากนั้นจึงใช้อัลกอริทึม Machine Learning สร้างรูปแบบที่บ่งชี้รสนิยมของผู้ชม รูปแบบนี้อาจตรงกับผู้ใช้อีกคนหรืออาจไม่ตรงกับใครเลยก็ได้ เนื่องจากผู้ใช้แต่ละคนอาจมีรสนิยมที่ไม่เหมือนใคร และระบบจึงจะแนะนำหนัง/ซีรีส์ที่ผู้ใช้น่าจะชอบ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลางมหาสิ่งที่อยากดูเอง นอกจากนี้ Netflix ยังจับข้อมูล เช่น วันเวลา สถานที่ ประเภทของอุปกรณ์ที่ใช้ คำค้นหา ต่าง ๆ เพื่อนำมาจัดลำดับตัวเลือกหนังและซีรีส์ต่าง ๆ เป็นแถวตามความชอบของแต่ละบุคคล โดยสื่อที่มีแนวโน้มจะดูมากที่สุดในมุมซ้ายบน

Data Science และ AI ยังถูกนำมาใช้ในกิจกรรมการวางแผนการผลิตและการพัฒนาเนื้อหาด้วย เมื่อผู้สร้างมีไอเดียเกี่ยวกับภาพยนตร์หรือรายการ ข้อมูลจะมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ โดยพิจารณาจากเนื้อหาในอดีต ประสิทธิภาพของเนื้อหานั้น สิ่งที่ทำได้ดี และสิ่งที่สามารถปรับปรุงได้ ตั้งแต่พล็อตเรื่อง นักแสดง ไปจนถึงสถานที่ถ่ายทำ ทำให้สามารถคาดการณ์ความน่าจะปังของเนื้อหาใหม่ ๆ ได้ด้วย

นอกจากนี้ภาพปกโปสเตอร์หนัง/ซีรีย์ใน Netflix ก็มาจากการคำนวนความน่าจะชื่นชอบตามหลักของ Data Science Netflix ใช้ Artwork Visual Analysis (AVA) ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือและอัลกอริทึม Machine Learning ในการดึงภาพที่เกี่ยวข้องจากวิดีโอ มาแสดงเป็นภาพขนาดย่อสำหรับลูกค้า Netflix โดยอัตโนมัติ ซึ่งโดยทั่วไปซีรีส์แต่ละเรื่องจะมีประมาณ 10 ตอนในแต่ละซีซั่น หรือประมาณ 9 ล้านเฟรม การเลือกเฟรมที่น่าดึงดูดจากวิดีโอขนาดใหญ่เช่นนี้ด้วยมนุษย์จึงไม่ใช่เรื่องง่าย

Google ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ยิ่งขึ้น

  • Search Engine อัจริยะ ช่วยค้นหาสิ่งที่ต้องการ แสดงโฆษณาตรงเป้าหมาย
  • Gemini Generative AI สุดสร้างสรรค์ ที่เก่งไม่แพ้ใคร
Search, Maps, Cloud, YouTube, Translate ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ใช้ Data Science เพื่อช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้สำหรับบริษัทตัวอย่างเช่น Google Ads เดิมชื่อ AdWords เป็นชุดเครื่องมือการตลาดสำหรับธุรกิจในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตนออนไลน์ เพื่อใช้กำหนดเป้าหมายโฆษณาที่เหมาะสมให้กับผู้ใช้ที่เหมาะสม โดยเบื้องหลัง Google Ads มีอัลกอริทึม Machine Learning ที่ทันสมัยซึ่งจัดอันดับคำหลักหลายพันคำตามเมตริกหลายอย่าง ก่อนจะถูกนำมาใช้ในการเลือกโฆษณาที่เหมาะสมเพื่อแสดงให้ผู้ใช้ดู

และล่าสุดกับ Gemini หนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ Google ในด้าน Generative AI ซึ่งเป็น AI ที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ ๆ ได้ เช่น ข้อความ ภาพ หรือโค้ด ก็ผ่านการเทรนด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลที่รวบรวมมาจากทั่วโลก ซึ่งรวมถึงหนังสือ บทความ เว็บไซต์ โค้ด และอื่น ๆ อีกมากมาย ข้อมูลเหล่านี้เป็นเหมือน “อาหาร” ที่ทำให้ Gemini เรียนรู้และพัฒนาความสามารถได้ขนาดนี้


Data Science ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด การนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมาวิเคราะห์เพื่อค้นหา Insights ที่ซ่อนอยู่ และนำไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างชาญฉลาด เป็นกลยุทธ์ที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกให้ความสำคัญ

หวังว่าการแบ่งปันกรณีศึกษาเหล่านี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนอยากสร้างสรรค์และพัฒนาธุรกิจให้เติบโตไปข้างหน้า ด้วยการนำความรู้และทักษะด้าน Data Science มาประยุกต์ใช้ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับ Data Science มากยิ่งขึ้น แบบรู้ลึก รู้จริง ใช้ทำงานได้แบบมืออาชีพ

👉🏻  สามารถดูรายละเอียดคอร์ส และสมัครเรียน “Data Science Immersive” ได้ที่นี่ https://www.truedigitalacademy.com/course/data-science-immersive

Citation: https://www.linkedin.com/pulse/how-faang-companies-leveraging-data-science-ai-stratascratch

More Information

We will get back to you within 24 business hours
By submitting your information, you consent to allow True Digital Academy team to contact you or your organization via phone or email.