สรุป 20 ข้อ “ความรู้ AI ที่ควรมีก่อนสมัครงานในยุคนี้”
สรุป 20 ข้อ “ความรู้ AI ที่ควรมีก่อนสมัครงานในยุคนี้”
Business
5 นาที
01 พ.ย. 2024
แชร์
แชร์
Table of contents
เนื้อหาที่น่าสนใจจาก Panel Discussion ในหัวข้อ“ความรู้ AI ที่ควรมี ก่อนสมัครงานในยุคนี้” โดย คุณแม็ค สุนาถ ธนสารอักษร Managing Director – Accenture Song, คุณเอ้ พิชญ ศรีฟ้า CTO & Co-Founder – GetLinks Group, คุณมอส นพดล รัตนวิเศษรัตน์ Digital Specialist – Modern Work – Microsoft และคุณออฟ ทุตานนท์ สินธุประสิทธิ์ R&D and Innovation Lab Lead – SCB X เมื่อวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมาในงาน Job Connect 2024 ที่จัดโดย True Digital Park
สรุป 20 ข้อจากช่วงเสวนา “ความรู้ AI ที่ควรมีก่อนสมัครงานในยุคนี้”
1. การใช้ AI ในองค์กร: องค์กรส่วนใหญ่เริ่มนำ AI มาใช้ในกระบวนการทำงาน โดยเฉพาะในการคัดกรองผู้สมัครงานและการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานที่ต้องการความรวดเร็วและแม่นยำ. การประยุกต์ใช้ AI ช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลที่ดีกว่าในการตัดสินใจ
.
2. ทักษะที่องค์กรให้ความสำคัญ: องค์กรมองหาทักษะในสองด้านหลักคือ เครื่องมือ (Tools) เช่น Microsoft Copilot, ChatGPT หรือ Gemini ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทักษะ (Skills) ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้เครื่องมือ AI เหล่านี้ให้เข้ากับกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
3. AI ที่มีประสิทธิภาพ: AI ที่มีประสิทธิภาพควรครอบคลุมสามด้านสำคัญ ได้แก่ Operating Edge ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, Creativity Edge ที่ขยายขอบเขตความคิดสร้างสรรค์ และ Trust Edge ที่สร้างความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องช่วยให้การทำงานของมนุษย์ง่ายขึ้น
.
4. AI ไม่ได้แทนที่คน แต่มาแทนที่ task : AI สามารถเข้ามาแทนที่งานบางประเภทได้ เช่น ในจำนวน 10 งานที่มนุษย์ทำ AI อาจสามารถทดแทนได้เพียง 2 งาน แต่แม้ว่า AI จะมีศักยภาพในการจัดการกับงานบางอย่าง แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความสามารถของมนุษย์ในหลายด้าน เช่น การตัดสินใจที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการอ่านสถานการณ์และตอบสนองอย่างเหมาะสมยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีมนุษย์เป็นผู้ทำ
.
5. การไม่มีความรู้ด้าน AI คือสิ่งที่น่ากลัว: มากกว่าการกลัวการถูกแทนที่ เราควรกังวลเกี่ยวกับการไม่รู้วิธีใช้งาน AI มากกว่า ความสำคัญอยู่ที่การพัฒนาทักษะด้าน AI โดยการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จะช่วยให้เราสามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะยังเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ส่งเสริมการเติบโตในสายงานของบุคคลอย่างมีคุณค่า
.
6. องค์กรอยากจ้างคนที่ใช้ AI เป็น: จากผลสำรวจ Work Trend Index 2024 พบว่า 77% ของนายจ้างมีแนวโน้มที่จะจ้างผู้ที่มีทักษะในการใช้ AI แม้ว่าจะมีประสบการณ์ทำงานน้อยกว่าผู้สมัครที่มีประสบการณ์มากกว่าแต่ไม่สามารถใช้ AI ได้ โดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของทักษะการใช้ AI ในตลาดแรงงานปัจจุบัน
.
7. การทำงานร่วมกัน: การรวมกันระหว่างคนและ AI จะส่งผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำงานโดยลำพัง ซึ่งการใช้ AI เพื่อสนับสนุนการทำงานของมนุษย์สามารถช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานร่วมกันนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
.
8. งานที่ใช้ความเชี่ยวชาญ: งานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง เช่น การแพทย์ การทำงานกับอารมณ์ หรือการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อผู้คน ยังต้องการการควบคุมจากมนุษย์ AI ยังมีข้อจำกัดในด้านที่ต้องใช้ความรู้สึกและความเข้าใจทางจิตใจ
.
9. AI ก็หลอนได้: AI Hallucination คือปรากฏการณ์ที่ AI ให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ใช้งานต้องระวังและมีความคิด “เอ๊ะ” อยู่เสมอ เราจึงต้องตรวจสอบและประเมินคำตอบจาก AI อย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาด และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่อาจส่งผลเสียได้
.
10. ให้มอง AI เป็นน้องฝึกงาน: เราควรมอง AI เสมือนเป็นน้องฝึกงานที่มาช่วยสนับสนุนการทำงาน หน้าที่ของเราคือการตรวจสอบผลงานของน้องว่าทำถูกต้องหรือไม่ ก่อนที่จะนำไปใช้ต่อยอดในการทำงานจริง เหมือนที่ Microsoft เรียก AI ว่า Co-Pilot เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้ที่เป็น Pilot หลักในการทำงานยังคงเป็นมนุษย์อยู่ดี
.
11. การใช้ AI ที่ดีควรนำไปใช้ในงานจริง: เพื่อให้การใช้ AI มีประสิทธิภาพสูงสุด เราต้องเข้าใจงานของตนเองอย่างชัดเจน และรู้ว่า AI สามารถเข้ามาช่วยได้อย่างไร รวมถึงข้อจำกัดในการใช้เครื่องมือแต่ละประเภท ความรู้เกี่ยวกับวิธีการทำงานของ AI จะช่วยให้คุณสามารถปรับกระบวนการทำงานให้เหมาะสมและใช้ AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
.
12. ตั้งคำถามที่ตรงประเด็นกับ AI: การเลือกเครื่องมือ AI ที่เหมาะสมกับประเภทของงานและการตั้งคำถามที่ตรงประเด็นกับ AI จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมยังช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการทำงาน
.
13. คนใช้งานต้องมีทักษะในการตัดสินใจ: ผู้ใช้งานจำเป็นต้องมีทักษะในการตัดสินใจเพื่อตีความผลลัพธ์ที่ AI ให้มา ว่าอะไรดีและอะไรไม่เหมาะสม จากนั้นจึงเลือกข้อมูลที่ถูกต้องและนำกลับเข้าไปใส่ เพื่อให้ AI สามารถประมวลผลต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำเช่นนี้จะช่วยให้สามารถรีดความสามารถของ AI ออกมาได้สูงสุด
.
14. คนที่มีทักษะการสื่อสารที่ดีจะได้เปรียบในการใช้ AI: ผู้ที่มีทักษะการสื่อสารที่ดีจะมีข้อได้เปรียบในการใช้งาน AI เนื่องจากพวกเขารู้ว่าควรตั้งคำถามอย่างไรและต้องให้ข้อเสนอแนะแบบไหนเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
.
15. AI คือความรู้ใหม่ เริ่มเรียนได้เท่ากันกับทุกคน: AI เป็นสาขาความรู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและสร้างความรู้ใหม่อยู่เสมอ ทำให้การเรียนรู้เกี่ยวกับ AI สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่จำกัดเฉพาะเด็กจบใหม่หรือผู้ที่ทำงานอยู่แล้ว ทุกคนมีโอกาสในการเรียนรู้ที่เท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงอายุหรือประสบการณ์ นี่คือโอกาสที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและพัฒนาทักษะในด้านนี้ได้อย่างเสมอภาค
.
16. รู้เรื่อง AI ดีกว่าไม่รู้: ความรู้ด้าน AI เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในแทบทุกสายงาน ไม่ใช่เพียงแค่ในสายเทคโนโลยีเท่านั้น ผู้สมัครงานที่มีความรู้เกี่ยวกับ AI จะมีโอกาสสูงขึ้นในการได้งานในตลาดที่มีการแข่งขันมาก การพัฒนาความรู้ด้านนี้จะทำให้คุณมีคุณค่าและน่าสนใจในตลาดแรงงานมากยิ่งขึ้น
.
17. องค์กรจะเริ่มไม่รับคนที่มีปริญญาอย่างเดียว: อนาคตของการจ้างงานในองค์กรจะเริ่มมองหาคนที่มีทักษะ (Skills) มากกว่าคุณวุฒิทางการศึกษา งานในปัจจุบันมีตำแหน่งว่างมากมาย แต่หาคนที่มีความสามารถมาทำงานได้ยาก ดังนั้นองค์กรจึงมองหาบุคลากรที่สามารถสื่อสารได้ดี เข้าใจเทคโนโลยี และมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ว่าจะมาจากคณะไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีทักษะในการทำงานที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
.
18. Logic, Adaptability, Teamwork: นอกเหนือจากทักษะด้าน AI องค์กรยังมองหาบุคลากรที่มีความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล (Logic) และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ (Adaptability) นอกจากนี้ ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Teamwork) ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการทำงานเป็นทีมสามารถเสริมสร้างประสิทธิภาพและนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
.
19. ความเป็นมนุษย์สำคัญที่สุด: แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคของ AI แต่ความเป็นมนุษย์ยังคงมีความสำคัญที่สุดในการสมัครงานและการทำงาน การแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเราเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่แตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือวิธีการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ นอกเหนือจากเพียงแค่ผลงานที่มีอยู่ ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และการร่วมมือกับผู้อื่นถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญไม่แพ้กัน
.
20. Infinite Learner การเรียนรู้ต่อเนื่อง: ในปัจจุบัน องค์กรให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความกระตือรือร้นและไม่หยุดนิ่งในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การมีความสนใจในการรับและเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแรงจูงใจและ drive ที่มีในการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยให้บุคคลนั้นเข้ากับทีมและวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างลงตัว
.
2. ทักษะที่องค์กรให้ความสำคัญ: องค์กรมองหาทักษะในสองด้านหลักคือ เครื่องมือ (Tools) เช่น Microsoft Copilot, ChatGPT หรือ Gemini ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทักษะ (Skills) ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้เครื่องมือ AI เหล่านี้ให้เข้ากับกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
3. AI ที่มีประสิทธิภาพ: AI ที่มีประสิทธิภาพควรครอบคลุมสามด้านสำคัญ ได้แก่ Operating Edge ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, Creativity Edge ที่ขยายขอบเขตความคิดสร้างสรรค์ และ Trust Edge ที่สร้างความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องช่วยให้การทำงานของมนุษย์ง่ายขึ้น
.
4. AI ไม่ได้แทนที่คน แต่มาแทนที่ task : AI สามารถเข้ามาแทนที่งานบางประเภทได้ เช่น ในจำนวน 10 งานที่มนุษย์ทำ AI อาจสามารถทดแทนได้เพียง 2 งาน แต่แม้ว่า AI จะมีศักยภาพในการจัดการกับงานบางอย่าง แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความสามารถของมนุษย์ในหลายด้าน เช่น การตัดสินใจที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการอ่านสถานการณ์และตอบสนองอย่างเหมาะสมยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีมนุษย์เป็นผู้ทำ
.
5. การไม่มีความรู้ด้าน AI คือสิ่งที่น่ากลัว: มากกว่าการกลัวการถูกแทนที่ เราควรกังวลเกี่ยวกับการไม่รู้วิธีใช้งาน AI มากกว่า ความสำคัญอยู่ที่การพัฒนาทักษะด้าน AI โดยการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จะช่วยให้เราสามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะยังเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ส่งเสริมการเติบโตในสายงานของบุคคลอย่างมีคุณค่า
.
6. องค์กรอยากจ้างคนที่ใช้ AI เป็น: จากผลสำรวจ Work Trend Index 2024 พบว่า 77% ของนายจ้างมีแนวโน้มที่จะจ้างผู้ที่มีทักษะในการใช้ AI แม้ว่าจะมีประสบการณ์ทำงานน้อยกว่าผู้สมัครที่มีประสบการณ์มากกว่าแต่ไม่สามารถใช้ AI ได้ โดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของทักษะการใช้ AI ในตลาดแรงงานปัจจุบัน
.
7. การทำงานร่วมกัน: การรวมกันระหว่างคนและ AI จะส่งผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำงานโดยลำพัง ซึ่งการใช้ AI เพื่อสนับสนุนการทำงานของมนุษย์สามารถช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานร่วมกันนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
.
8. งานที่ใช้ความเชี่ยวชาญ: งานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง เช่น การแพทย์ การทำงานกับอารมณ์ หรือการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อผู้คน ยังต้องการการควบคุมจากมนุษย์ AI ยังมีข้อจำกัดในด้านที่ต้องใช้ความรู้สึกและความเข้าใจทางจิตใจ
.
9. AI ก็หลอนได้: AI Hallucination คือปรากฏการณ์ที่ AI ให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ใช้งานต้องระวังและมีความคิด “เอ๊ะ” อยู่เสมอ เราจึงต้องตรวจสอบและประเมินคำตอบจาก AI อย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาด และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่อาจส่งผลเสียได้
.
10. ให้มอง AI เป็นน้องฝึกงาน: เราควรมอง AI เสมือนเป็นน้องฝึกงานที่มาช่วยสนับสนุนการทำงาน หน้าที่ของเราคือการตรวจสอบผลงานของน้องว่าทำถูกต้องหรือไม่ ก่อนที่จะนำไปใช้ต่อยอดในการทำงานจริง เหมือนที่ Microsoft เรียก AI ว่า Co-Pilot เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้ที่เป็น Pilot หลักในการทำงานยังคงเป็นมนุษย์อยู่ดี
.
11. การใช้ AI ที่ดีควรนำไปใช้ในงานจริง: เพื่อให้การใช้ AI มีประสิทธิภาพสูงสุด เราต้องเข้าใจงานของตนเองอย่างชัดเจน และรู้ว่า AI สามารถเข้ามาช่วยได้อย่างไร รวมถึงข้อจำกัดในการใช้เครื่องมือแต่ละประเภท ความรู้เกี่ยวกับวิธีการทำงานของ AI จะช่วยให้คุณสามารถปรับกระบวนการทำงานให้เหมาะสมและใช้ AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
.
12. ตั้งคำถามที่ตรงประเด็นกับ AI: การเลือกเครื่องมือ AI ที่เหมาะสมกับประเภทของงานและการตั้งคำถามที่ตรงประเด็นกับ AI จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมยังช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการทำงาน
.
13. คนใช้งานต้องมีทักษะในการตัดสินใจ: ผู้ใช้งานจำเป็นต้องมีทักษะในการตัดสินใจเพื่อตีความผลลัพธ์ที่ AI ให้มา ว่าอะไรดีและอะไรไม่เหมาะสม จากนั้นจึงเลือกข้อมูลที่ถูกต้องและนำกลับเข้าไปใส่ เพื่อให้ AI สามารถประมวลผลต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำเช่นนี้จะช่วยให้สามารถรีดความสามารถของ AI ออกมาได้สูงสุด
.
14. คนที่มีทักษะการสื่อสารที่ดีจะได้เปรียบในการใช้ AI: ผู้ที่มีทักษะการสื่อสารที่ดีจะมีข้อได้เปรียบในการใช้งาน AI เนื่องจากพวกเขารู้ว่าควรตั้งคำถามอย่างไรและต้องให้ข้อเสนอแนะแบบไหนเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
.
15. AI คือความรู้ใหม่ เริ่มเรียนได้เท่ากันกับทุกคน: AI เป็นสาขาความรู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและสร้างความรู้ใหม่อยู่เสมอ ทำให้การเรียนรู้เกี่ยวกับ AI สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่จำกัดเฉพาะเด็กจบใหม่หรือผู้ที่ทำงานอยู่แล้ว ทุกคนมีโอกาสในการเรียนรู้ที่เท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงอายุหรือประสบการณ์ นี่คือโอกาสที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและพัฒนาทักษะในด้านนี้ได้อย่างเสมอภาค
.
16. รู้เรื่อง AI ดีกว่าไม่รู้: ความรู้ด้าน AI เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในแทบทุกสายงาน ไม่ใช่เพียงแค่ในสายเทคโนโลยีเท่านั้น ผู้สมัครงานที่มีความรู้เกี่ยวกับ AI จะมีโอกาสสูงขึ้นในการได้งานในตลาดที่มีการแข่งขันมาก การพัฒนาความรู้ด้านนี้จะทำให้คุณมีคุณค่าและน่าสนใจในตลาดแรงงานมากยิ่งขึ้น
.
17. องค์กรจะเริ่มไม่รับคนที่มีปริญญาอย่างเดียว: อนาคตของการจ้างงานในองค์กรจะเริ่มมองหาคนที่มีทักษะ (Skills) มากกว่าคุณวุฒิทางการศึกษา งานในปัจจุบันมีตำแหน่งว่างมากมาย แต่หาคนที่มีความสามารถมาทำงานได้ยาก ดังนั้นองค์กรจึงมองหาบุคลากรที่สามารถสื่อสารได้ดี เข้าใจเทคโนโลยี และมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ว่าจะมาจากคณะไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีทักษะในการทำงานที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
.
18. Logic, Adaptability, Teamwork: นอกเหนือจากทักษะด้าน AI องค์กรยังมองหาบุคลากรที่มีความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล (Logic) และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ (Adaptability) นอกจากนี้ ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Teamwork) ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการทำงานเป็นทีมสามารถเสริมสร้างประสิทธิภาพและนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
.
19. ความเป็นมนุษย์สำคัญที่สุด: แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคของ AI แต่ความเป็นมนุษย์ยังคงมีความสำคัญที่สุดในการสมัครงานและการทำงาน การแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเราเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่แตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือวิธีการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ นอกเหนือจากเพียงแค่ผลงานที่มีอยู่ ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และการร่วมมือกับผู้อื่นถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญไม่แพ้กัน
.
20. Infinite Learner การเรียนรู้ต่อเนื่อง: ในปัจจุบัน องค์กรให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความกระตือรือร้นและไม่หยุดนิ่งในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การมีความสนใจในการรับและเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแรงจูงใจและ drive ที่มีในการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยให้บุคคลนั้นเข้ากับทีมและวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างลงตัว